MATCH ฟังก์ชันที่ใช้ค้นหา ลำดับแถวของข้อมูลที่ต้องการ จาก Range ของข้อมูลตามที่กำหนด ตัวอย่าง
=MATCH(A1, B:C, 0)
* A1 คือค่าที่ใช้ค้นหา
* B:B คือ Range ข้อมูลที่ทำการค้นหา(คอลัมน์ B) ควรเลือกแค่ 1 คอลัมน์
* -1/0/1 คือการกำหนดรูปแบบการค้นหา
-1 = ข้อมูลที่น้อยกว่า
0 = ข้อมูลตรงกันทั้งหมด
1 = ข้อมูลที่มากกว่า
3. ใช้ฟังก์ชัน MATCH เพื่อหาลำดับแถวของ Size:S

วิธี ใช้ฟังก์ชัน
3.1. สูตร ต้องเริ่มด้วยเครื่องหมายอะไร
3.2. เขียนชื่อฟังก์ชัน MATCH(
3.3. ตัวแปรที่ 1: ค่าที่ใช้ค้นหา (พิมพ์ค่าที่ต้องการ หรือใช้การอ้างอิง cell ก็ได้)
3.4. ตัวแปรที่ 2: คือ Range ข้อมูลที่ทำการค้นหา คอลัมส์ Size ใช้ค้นหา และต้องการผลจากคอลัมส์ Stock
3.5. ตัวแปรที่ 3: กำหนดเป็นแบบ ข้อมูลตรงกันทั้งหมด
3.6. อย่าลืมใส่ ) ต่อท้าย
นำมาเขียนรวมกัน
INDEX ฟังก์ชันที่ใช้อ้างอิงข้อมูลด้วย ลำดับแถวและลำดับคอลัมน์ จาก Range ของข้อมูลตามที่กำหนด ตัวอย่าง
=INDEX(D:D, 4, 5)
* D:D คือ Range ข้อมูลที่ทำการค้นหา(คอลัมน์ B) ควรเลือกแค่ 1 คอลัมน์
* 4 คือ ลำดับของแถวใน Range ที่กำหนด
* 5 คือ ลำดับของคอลัมน์ใน Range ที่กำหนด
4. ใช้ฟังก์ชัน INDEX เพื่อหา Price/Unit ของข้อมูลแถวที่ 5

วิธี ใช้ฟังก์ชัน
4.1. สูตร ต้องเริ่มด้วยเครื่องหมายอะไร
4.2. เขียนชื่อฟังก์ชัน INDEX(
4.3. ตัวแปรที่ 1: Range ของคอลัมน์ที่ใช้ค้นหา
4.4. ตัวแปรที่ 2: ลำดับของแถวใน Range ที่กำหนด
4.5. ตัวแปรที่ 3: ลำดับของคอลัมน์ใน Range ที่กำหนด
4.6. อย่าลืมใส่ ) ต่อท้าย
นำมาเขียนรวมกัน
5. ใช้ฟังก์ชัน INDEX และ MATCH เพื่อหาค่า Price/Unit ของ Size:S

วิธี ใช้ฟังก์ชัน
5.1. ใช้สูตรในข้อ 3.
5.2. แทนค่าตัวแปรลำดับที่ 2 ด้วยข้อ 2.
Formiraex ช่วยคุณได้อย่างไร

Add-ins สำหรับ เรียน Excel ที่ทำการ สอน Excel ด้วยการปฏิบัติจริง
เราได้พัฒนาแบบเรียน Excel และแบบฝึกหัดสำหรับ Excel ที่จะช่วยให้คุณ ได้ประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม ในการเรียนรู้ Excel ด้วยตัวคุณเอง